วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2566
0 ความคิดเห็น

รู้ไว้ก่อนถ้า โดนฟ้องศาลเรื่องรถยนต์

มกราคม 24, 2566
ศาลเรื่องรถยนต์



เรื่องของการต้องขึ้นศาลขึ้นโรงพักหลายคนคงไม่ปรารถนา แต่บางครั้งก่อนอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับกรณีการซื้อขายรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายกับบุคคลหรือการซื้อผ่านไฟแนนซ์ เพราะตราบใดที่ชื่อในหนังสือจดทะเบียนรถยนต์ยังไม่ได้เป็นชื่อของผู้ซื้อและสัญญาก็ระบุเงื่อนไขต่าง ๆ นานาไว้ ผู้ซื้อเองอาจต้องคอยระมัดระวังและศึกษาข้อตกลงบนหน้าสัญญาให้ดี เพื่อไม่เกิดการโดนฟ้องศาลเรื่องรถยนต์ขึ้นมา นอกจากนั้น สิ่งที่ผู้ซื้อเองควรมีความรู้เพิ่มเติมคือกรณีศึกษาว่าหากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมาจะเป็นเช่นไร แล้วต้องทำอย่างไรต่อไป เพราะของแบบนี้มันไม่แน่นอน การเงินที่ว่าคล่องตัว หากวันหนึ่งมันชะงักขึ้นมา ทุกอย่างก็พังทลายไม่เป็นท่าได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วหนทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันและเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในทุกสถานการณ์

สำหรับกรณีหลัก ๆ ของการโดนฟ้องศาลเรื่องรถยนต์มักจะเกิดกับผู้เช่าซื้อที่ไม่ชำระเงินให้ตรงตามงวดที่กำหนด และมีการค้างชำระเป็นเวลาเกินกว่าที่กำหนด โดยเฉพาะกับการเช่าซื้อกับไฟแนนซ์ซึ่งจะมีความเข้มงวดมาก เพราะอย่าลืมนะว่าไฟแนนซ์ก็คือการดำเนินการในรูปของธุรกิจ ดังนั้น เงินทุกบาททุกสตางค์ก็คงไม่เก็บขาดตกบกพร่องอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระ หรือไม่ได้ส่งค่างวดรถตามระยะเวลาที่กำหนด ก็จะเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา ทั้งนี้กรณีนี้ผู้เช่าซื้อเองอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วที่ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย เพราะยิ่งถ้าผู้เช่าซื้อเองก็ได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาอย่างชัดเจนก็เท่ากับว่าเป็นการที่ผู้เช่าซื้อทำผิดสัญญา

แต่ทั้งนี้ หากเกิดกรณีนี้ขึ้นมาวิธีการแรกที่ควรทำมากที่สุดคือผู้เช่าซื้อต้องติดต่อกับผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์เพื่อขอประนีประนอม บางรายอาจจะประนีประนอมได้สำเร็จ บางรายอาจประนีประนอมไม่สำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้เริ่มประนีประนอมกันเลย นอกจากนี้ ผู้เช่าซื้อเองก็ไม่ควรปล่อยรถให้ถูกยึดไปโดยผู้ให้เช่าซื้อ เพราะรู้ไว้ว่าภาระหนี้สินไม่ได้หมดไปหรือคดีฟ้องร้องจะหายไปเมื่อผู้ฝห้เช่าซื้อมายึดรถไป ยกกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนมากและเกิดขึ้นจริงมาแล้วกรณีผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ฝ่ายโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและได้ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมาและได้นำรถที่ติดตามคืนมาได้นั้นออกประมูลขายทอดตลาด เมื่อนำมาหักกับราคาเช่าซื้อที่ค้างชำระและยังขาดอยู่อีก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นราคาที่รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างครบถ้วน ศาลได้พิจารณาคดีนี้ว่าให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคา 160,000 บาท ส่วนค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ยนั้นถือเป็นการคิดค่าเสียหายส่วนหนึ่ง เมื่อได้กำหนดค่าเสียหายให้เป็นจำนวนพอสมควรแล้วจึงไม่กำหนดให้อีก พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 160,000 บาท ดังนั้นเท่ากับว่าต่อให้คืนรถยังไงก็ต้องชำระส่วนต่างที่ยังขาดไปอยู่ดี ดังนั้น ความใจผิดของใครหลายคนที่ว่าถ้าคืนรถแล้วทุกอย่างก็จบ อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด

ทั้งนี้ หากผู้เช่าซื้อเองไม่มีเงินจะชำระจริง ๆ สิ่งที่ควรทำคือยอมทำตามขั้นตอนตามกฎหมายอย่างถูกต้อง อย่าเพิกเฉยหรือหนีหายโดยเด็ดขาด ขอเพียงกล่าวถ้อยคำตามความจริงเพราะการชดใช้นั้น ศาลอาจตัดสินให้ยืดการชำระได้ออกไปกี่ปี ๆ ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล

เมื่อเกิดการฟ้องร้องจะเกิดขึ้นได้กับผู้เช่าซื้อแล้ว หากการเช่าซื้อนั้นมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันเองคงต้องมีส่วนรับผิดชอบในการชดใช้นั้น เพราะการลงนามค้ำประกันก็เสมือนการลงนามเพื่อยืนยันว่า อย่างไรก็ตามก็จะหาเงินมาจ่ายจนครบตามจำนวนที่ระบุไว้สัญญาตามดอกเบี้ยง ซึ่งหากผู้เช่าซื้อไม่สามารถชำระได้และมีการฟ้องร้องเอาผิด ผู้ค้ำประกันเองก็ต้องทีส่วนรับผิดชอบในกรณีนี้ด้วย

การฟ้องร้องรถยนต์บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะหากเกิดขึ้นแล้วอาจต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายและใช้เวลานานกว่าจะมีการตัดสินคดีความ ซึ่งเหนือสิ่งใดคือความไม่สบายใจของคุณก็ยังคงจะติดอยู่ในใจไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุด ไม่เพียงแค่ผู้เช่าซื้อ ผู้ค้ำประกันก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน ดังนั้นแล้วหนทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้เกิดการฟ้องร้องรยนต์ขึ้นมาก็คือการทำตามสัญญาที่ระบุไว้อย่างครบถ้วน หรือทางที่ดีที่สุดก่อนการตัดสินใจเช่าซื้อรถยนต์ควรสำรวจสภาพทางการเงินให้แน่นอนก่อนว่าจะไม่เดือดร้อนหากเกิดกรณีฉุกเฉินหรือสภาวะที่ไม่ปกติขึ้นมา หรือแม้แต่คนค้ำประกันก็เช่นกัน ควรตรวจสอบให้แน่ใจในคนที่จะไปค้ำประกันก่อนว่ามีพฤติการณ์เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องไหม หรือมีสถานะทางการเงินที่ดีไหม เพราะอย่างลืมนะว่าหากเกิดอะไรขึ้นมา ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องถูกฟ้องร้องและมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบครั้งนี้ด้วย




สุดท้าย อยากจะฝากให้ผู้เช่าซื้อรถยนต์ทุกคนรู้จักวางแผนทางการเงิน เพราะเมื่อคุณตัดสินใจเช่าซื้อไปแล้ว และได้ลงนามสัญญาเช่าซื้อไปแล้ว หากผิดนัดการชำระ คุณเองก็เป็นฝ่ายที่ผิดไปเต็ม ๆ ประตู จะหลีกเลี่ยงอะไรก็ไม่ได้ และจำไว้นะว่าการส่งคืนรถก็ไม่ได้หมายความว่าคดีจะจบหรือทุกอย่างงจะจบลง เครดิตคุณเสียและเงินส่วนเกินคุณก็ต้องชำระให้แก่ทางไฟแนนซ์อยู่ดี

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Toggle Footer
Top